ทำไมเดือนตุลาคมจึงเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งเต้านม และทำไมต้องเป็นริบบิ้นสีชมพู
ในเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปีจะเป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลก (รวมถึงประเทศไทย) ออกมารณรงค์ในทุกคนตระหนักในเรื่องของภัยจาก “มะเร็งเต้านม”ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขของทุกประเทศทั่วโลก โดยมีแคมเปญที่ชื่อว่า “Breast Cancer Awareness Month” (BCAM) หรือ “National Breast Cancer Awareness Month” (NBCAM) จัดขึ้นโดยองค์กรการกุศลด้านมะเร็งเต้านม โดยได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม และในตลอดเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปีจะมีการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องมะเร็งเต้านม และมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อระดมทุนหารายได้ในกานทำวิจัย และวินิจฉัยหาวิธีการรับมือกับโรคนี้ โดยโครงการนี้ได้ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 (พ.ศ.2528) โดยความร่วมมือระหว่าง American Cancer Society และแผนกเภสัชกรรมของ lmperial Chemical lndustries (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ AstraZeneca ผู้ผลิตยาต้านมะเร็งเต้านมหลายชนิด) ด้วยจุดมุ่งหมายของที่ต้องการการส่งเสริมการต่อสู่กับมะเร็งเต้านมซึ่งมีคร่าชีวิตมนุษย์ทั้งชายและหญิง ใช่แล้ว…..ผู้ชายก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน ถึงแม้จะเป็นจำนวนตัวเลขผู้ป่วยที่น้อยกว่าผู้หญิงแต่ก็ไม่อาจมองข้ามได้ จนในปี ค.ศ.2009 (พ.ศ.2552) ได้มีการตั้งสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม ดังนั้นเรื่องของมะเร็งเต้านมจึงไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงเท่านั้น
เพราะเหตุใดจึงใช้ “ริบบิ้น” เป็นสัญลักษณ์
ริบบิ้น ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการสร้างความตื่นรู้และสนับสนุน ถูกนำมาใช้ช่วงกลางทศวรรษ1900 ในเพลงเดินทัพของสหรัฐฯ ที่ชื่อว่า “Tie a Yellow Ribbon” สร้างแรงบันดาลใจให้ภรรยาของตัวประกันที่ถูกจับในอิหร่านตั้งแต่ปี ค.ศ1979-1981 (พ.ศ.2522-2524) ให้ใช้ริบบิ้นสีเหลืองเพื่อแสดงการสนับสนุนตัวประกันและเพื่อเตือนผู้อื่นถึงการรับใช้ชาติของตน ต่อมาสัญลักษณ์นี้ได้พัฒนาขึ้นเพื่อเตือนความจำของชายและหญิงทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ประเทศในต่างแดน ในเวลาต่อมานักเคลื่อนไหวด้านโรคเอดส์ได้นำสัญลักษณ์ไปใช้โดยได้เปลี่ยนสีริบบิ้นจากสีเหลืองเป็นสีแดง จากนั้นสารพัดแคมเปญเพื่อสุขภาพที่เป็นกิจกรรมเพื่อการกุศลก็ใช้สัญลักษณ์นี้ และได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกาจนนิตยสาร New York Times เรียกปี 1992 ว่า “ปีแห่งริบบิ้น” (The Year of the Ribbon) ซึ่งริบบิ้นแต่ละสีก็จะมีความหมายแตกต่างกันไป
ความเป็นมาของ “ริบบิ้นสีชมพู”
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากสุขภาพสตรีวัย 68 ที่ชื่อ ชาร์ล็อต ฮาร์ลีย์ (Charlotte Haley) ผู้ซึ่งมีพี่สาว,ลูกสาว,และหลานสาวป่วยเป็นมะเร็งเต้านมได้ออกมาแจกริบบิ้นสีพีชพร้อมการ์ดใบหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องมะเร็งเต้านมว่า “งบประมาณประจำปีของสหรัฐฯ และมีเพียง5เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่นำไปใช้ในการป้องกันมะเร็ง มาช่วยกันปลุกสมาชิกสภานิติบัญญัติและอเมริกาของเราด้วยการสวมริบบิ้นนี้ไปมากกว่าพันชิ้น และได้รับความสนใจจากสื่อโดยเฉพาะบรรณาธิการบริหารนิตยสารสุขภาพหัวหน้าซึ่งกำลังมีโปรเจคเกี่ยวกับการรณรงค์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม และได้เชิญชวนเธอมาร่วมงานแต่ชาร์ล็อตตอบปฏิเสธด้วยเหตุผลที่เธอรู้สึกว่ามันเป็นเพื่อการค้าจนเกินไปไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่เธอต้องการ และด้วยเหตุผลทางกฎหมายบางอย่างที่ไม่อาจทำให้นำริบบิ้นสีพีชไปใช้ต่อได้ ทางนิตยสารและองค์กรอื่น ๆ ที่อยากออกมารณรงค์เรื่องนี้จึงเลือกใช้สีชมพูแทน เพราะสีชมพูนั้นถูกนำมาใช้ในเชิงสัญลักษณ์ของผู้หญิงในฝั่งตะวันตกมาช้านานแล้ว และโรคมะเร็งเต้านมก็ได้คร่าชีวิตของผู้หญิงทั่วโลกไปเป็นจำนวนมาก
ในปี1991 มูลนิธิซูซานจี ,โกเมนได้มอบริบบิ้นสีชมพูให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันในนครนิวยอร์กเพื่อผู้รอดชีวิตจากมะเร็งเต้านม
และในปี1993 เอเวอร์ลิน ลอดอร์ (Evelyn Lauder) รองประธานอาวุโสของ บริษัท Estee Lauder ได้ก่อตั้งมูลนิธิวิจัยมะเร็งเต้านมและสร้างริบบิ้นสีชมพูเป็นสัญลักษณ์ และในปัจจุบันก็ยังมีอีกมายมายที่ออกมาร่วมรณรงค์โดนมีริบบิ้นสีชมพูเป็นสัญลักษณ์
ข้อมูลจาก Wikipedia,gboncology.com
Credit : https://today.line.me/th/v2/article/oYV6mN?utm_source=lineshare